วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

ลิปสติก (Lipstick)

Lipstic


ลิปสติกคืออะไร ?
                ลิปสติก คือ เครื่องสำอางชนิดแรกที่ผู้หญิงเราหรือใครๆมักนึกถึง ลิปสติกสามารถช่วยเพิ่มสีสันบริเวณริมฝีปากให้ดูสดใส และยังบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงอีกด้วย ปัจจุบันลิปสติกถูกออกแบบมาให้เราเลือกใช้มากมายหลายแบบ ทั้งแบบเนื้อครีมมันแวววาว แบบเนื้อด้าน และอีกหลายแบบมากมาย
                ลิปสติกเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ที่มีการใช้อย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะทาริมฝีปาก เพื่อช่วยให้ชุ่มชื้นไม่แห้ง ช่วยปกป้องผิวของริมฝีปากจากสิ่งกระทบภายนอก ช่วยแต่งเติมรูปปากให้สวยงามขึ้น แต่งสีให้เด่นสะดุดตาแลดูงดงาม ดึงดูดความสนใจจากผู้พบเห็น เป็นต้น  แต่เนื่องจากลิปสติกเป็นเครื่องสำอางที่มักจะมีการกลืนกินเข้าไปในร่างกายได้  ดังนั้น จึงต้องเลือกซื้อและใช้ลิปสติกด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าลิปสติกที่เลือกซื้อและใช้ไม่ได้มาตรฐานก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยส่วนประกอบต่างๆของลิปสติก จะมีสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวริมฝีปาก และช่วยให้ลิปสติกนั้นคงรูปอยู่ได้ สีที่ใช้ต้องเป็นสีที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้ในลิปสติก ส่วนประกอบเสริมจะมีสารที่ทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น หรือมีความคงตัวดีขึ้น เช่น น้ำหอม สารแต่งกลิ่นแต่งรส วัตถุที่ใช้กันเสียและสารป้องกันแสงแดด เป็นต้น

 รูจ คือ ศัพท์ภาษาฝรั่งเศส
                เป็นคำทับศัพท์คำภาษาฝรั่งเศสว่า rouge ออกเสียงว่า รู้จ แปลว่า สีแดง เป็นคำเรียกเครื่องสำอางที่ใช้แต่งแต้มริมฝีปากและแก้มให้มีสีงดงาม ในภาษาไทยใช้กริยาว่า ทารูจ  ปัจจุบันใช้คำเรียกที่ต่างกันไป คือ รูจ ใช้เรียกเฉพาะสีที่ทาที่แก้มเท่านั้น แต่จะทาสีแดง สีชมพู สีส้ม หรือแม้สีเนื้อ สีน้ำตาลอ่อน ก็เรียกว่า ทารูจ  ส่วนเครื่องสำอางที่ใช้ทาที่ริมฝีปาก ใช้คำภาษาอังกฤษว่า ลิปสติก lipstick ออกเสียงในภาษาไทยว่า ลิบ – สะ – ติก   ปัจจุบันไทยเราสามารถผลิตเครื่องสำอางได้คุณภาพดีไม่แพ้ของต่างประเทศ ผู้หญิงไทยก็นิยมใช้เครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศ แต่ยังคงใช้คำภาษาฝรั่งเศสและคำภาษาอังกฤษเรียก รูจ และ ลิปสติก อยู่




ลิปสติกในอดีตถึงปัจจุบัน รวมถึงความแตกต่าง
                ลิปสติกในยุคปัจจุบัน มีเนื้อเรียบเนียนลื่นขึ้นกว่ายุคก่อน ซึ่งนิยมใช้ส่วนผสมหรือน้ำมันจากสัตว์(แทนที่จะใช้น้ำมันสังเคราะห์) รวมทั้งสูตรที่ทำให้ลิปสติกติดทนนานแต่ไม่คงความชุ่มชื้น ลิปสติกรุ่นเก่าจึงขาดความนุ่มเนียนในการทา และต้องอาศัยแปรงทาปากเป็นตัวช่วย แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีและเนื้อสัมผัสแบบใหม่ทำให้ทาง่าย ให้ความรู้สึกบางเบาบนริมฝีปากและมักให้คุณค่าการบำรุง ใช้ง่ายทาสะดวกขนาดนี้แล้ว เราควรเลิกใช้แปรงทาปากและหันมาทาลิปสติกจากแท่งไปเลยดีไหม คำตอบ คือ “ ได้ เพราะว่าปัจจุบันลิปสติกมีสูตรที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาก รวมทั้งการลงสีก็ง่ายกว่าแต่ก่อน และส่วนผสมที่เป็นแว็กซ์ในลิปสติกก็ถูกออกแบบมาให้ละลายเมื่อสัมผัสริมฝีปาก ลิปสติกจึงเกลี่ยได้ง่ายขึ้นและสม่ำเสมอ  นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมที่เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งทำให้ริมฝีปากดูฉ่ำอย่างเป็นธรรมชาติ ” 

ชนิดของลิปสติก


Lip Tretment คือ ลิปสติกที่ช่วยให้ความชุ่มชื้น หรือลดอาการแตกลอกของเรียวปาก มักมีส่วนผสมสารบำรุงเพื่อเพิ่มความนุ่มนวล  ปัจจุบัน Lip Tretment มีให้คุณเลือกในหลายรูปแบบด้วย ทั้งลิปบาล์มชนิดใส(Lip Balm) ให้ความชุ่มชื้น แต่บางลิปบาล์มชนิดเข้มข้น (Lip Conditioner) สำหรับสาวที่ริมฝีปากแห้งหรือแตกลอกเป็นขุย ข้อแนะนำ แนะนำให้คุณ ทา Lip Tretment ก่อนทาลิปสติกสีปกติ ประมาณ 5 – 10 นาที  เพื่อช่วยเคลือบริมฝีปากให้ชุ่มชื้นเสียก่อน เพราะหากทาลิปสติกสีในขณะที่ริมฝีปากยังแห้งอยู่ อาจทำให้ทาลิปสติกไม่ติดหรือติดเฉพาะบริเวณร่องปากที่ไม่แห้งได้



Cream คือ ลิปสติกที่มีเนื้อสีเข้มข้นมากเป็นพิเศษ มักมัส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดต่างๆ เช่น Emollient วิตามินซีหรือวิตามินอี ช่วยให้เนื้อลิปสติกมีความเนียนลื่นทาได้ง่าย ไม่มีคราบติดตามร่องริมฝีปาก ทั้งยังให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากอีกด้วย ข้อแนะนำ ลิปสติกชนิดนี้เหมาะสำหรับสาวที่มีริมฝีปากได้รูปสวยอยู่แล้ว เพราะจะทำให้ริมฝีปากดูเอิบอิ่มยิ่งขึ้น  สำหรับสาวที่มีรูปปากหนาหรือริมฝีปากไม่ได้รูป ควรหลีกเลี่ยงลิปสติกชนิดนี้เพราะเนื้อครีมที่เข้มข้นจะยิ่งเน้นให้ริมฝีปากคุณดูหนายิ่งขึ้น

Frost คือ ลิปสติกอีกชนิดหนึ่งที่มีเนื้อสีเข้มข้น แต่จะแตกต่างจากลิปสติกชนิด Cream ตรงที่จะมีส่วนของ Glitter ซึ่งเมื่อสะท้อนกับแสงจะเกิดเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้ริมฝีปากดูเปล่งปลั่งสดใส ข้อแนะนำ ลิปสติกชนิดนี้เหมาะสำหรับสาวที่มีริมฝีปากค่อนข้างบาง เพราะประกายระยิบระยับของเนื้อลิปสติกจะช่วยให้ริมฝีปากดูสว่างและมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น

Matt  คือ ลิปสติกที่มีความเข้มข้นของเนื้อสีมากที่สุด ปราศจากความเงามัน มีส่วนผสมที่ช่วยให้เนื้อลิปสติกแห้งไม่ลบเลื่อนง่าย  ปัจจุบันลิปสติกชนิดนี้มีให้คุณเลือกด้วยกันหลายรูปแบบ ทั้งเนื้อเมทท์ปกติ Glitter Matt ที่เพิ่มประกายระยิบระยับเล็กน้อย ให้ริมฝีปากคุณมันเงา ช่วยให้เรียวปากดูอวบอิ่มยิ่งขึ้น ข้อแนะนำ เวลาทาลิปสติกชนิดนี้ไม่ควรทาในปริมาณที่มากเกินไป เพราะจะทำให้ปากดูแห้งหนาไม่มีชีวิตชีวา


วิธีการเลือกลิปสติก : ลักษณะของลิปสติกที่ดี

                เวลาเลือกซื้อลิปสติกควรลองทาจริงบนริมฝีปากของคุณ  เพราะนอกจากทดสอบความเนียนละเอียดของเนื้อลิปสติกแล้ว สีสันของลิปสติกที่คุณเห็นตามเคาน์เตอร์นั้น จะไม่ใช่สีจริงที่คุณจะเห็นบนริมฝีปากของคุณจริง เพราะฉะนั้นเวลาทดลองสีลิปสติก  คุณควรดูว่าสีสันที่ปรากฏนั้นเป็นที่พอใจหรือยัง  นอกจากนี้ควรทดลองดมกลิ่นของลิปสติกด้วยว่าเป็นกลิ่นที่คุณรับได้หรือไม่ เพราะลิปสติกแต่ละยี่ห้อจะมีกลิ่นไม่เหมือนกัน คุณต้องมั่นใจว่าเมื่อทาลิปสติกลงบนริมฝีปากแล้ว จะไม่สร้างความรำคาญให้กับคุณ

อันตรายจากลิปสติกและการป้องกัน


1. ให้สังเกตฉลากต้องมีข้อความภาษาไทย บอกรายละเอียดชื่อเครื่องสำอาง ประเภทหรือชนิด เช่น ลิปมัน ลิปกรอส ส่วนประกอบ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต ผู้นำเข้า วิธีใช้ ปริมาณสุทธิ และที่ขาดไม่ได้คือ วันเดือนปีที่ผลิต
2. ลิปสติกที่อ้างสรรพคุณป้องกันแสงแดด ต้องบอกส่วนประกอบของสารควบคุม ครั้งที่ผลิต และต้องแสดงคำเตือน  สังเกตจากภายนอกลิปสติกต้องมีผิวเรียบเนียน ไม่เยิ้ม กลิ่นไม่เหม็นหืน และไม่ควรซื้อแต่ละครั้งในจำนวนมาก เพราะถ้าเก็บไว้นานๆ อาจเก่าหรือเสื่อมคุณภาพได้
3. ไม่ควรใช้ลิปสติกร่วมกับคนอื่น เพราะอาจเกิดการติดเชื้อได้
4. ก่อนทาลิปสติกทุกครั้ง ควรทำความสะอาดริมฝีปากก่อน หากใช้พู่กันควรทำความสะอาดพู่กันหลังใช้ทุกครั้ง
5. หากพบสีลิปสติกเปลี่ยนจากเดิม ไม่ควรใช้ต่อเนื่องอาจเสื่อมคุณภาพ
6. ถ้าใช้ลิปสติกแล้วมีอาการแพ้ควรหยุดใช้ หากหยุดใช้แล้วอาการยังไม่ดีก็ควรรีบพบแพทย์  อันตรายจากการใช้ลิปสติกอาจเกิดจากตัวผลิตภัณฑ์ ถ้าเสื่อมคุณภาพเพราะผลิตมานาน หากเป็นกลุ่มขี้ผึ้งและไขมันมีโอกาสเหม็นหืนได้ อีกทั้งลิปสติกที่ไม่มีฉลากภาษาไทยอาจผสมสีห้ามใช้ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ผู้บริโภคไม่มีโอกาสทราบข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสำอางชิ้นนั้น โดยเฉพาะชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตและวันเดือนปีที่ผลิต 
                ตัวผู้บริโภคเองอาจมีการแพ้ เช่น แพ้สี น้ำหอม สารกันเสีย สารกันแดด ต้องสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้วหลีกเลี่ยงสารดังกล่าว อาการแพ้ลิปสติก ได้แก่ ริมฝีปากแห้ง เป็นขุย ลอก คัน บวมแดง ริมฝีปากมีสีดำ บางรายเป็นตุ่มพอง อักเสบ เมื่อมีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้นต้องหยุดใช้ลิปสติกทันที หากจำเป็นอาจปรึกษาแพทย์และเภสัชกรต่อไป ข้อควรระวังในการใช้ลิปสติก คือ ควรทำความสะอาดริมฝีปากก่อนทาลิปสติก ไม่ควรใช้ลิปสติกหรือพู่กันร่วมกับผู้อื่น เพราะมีโอกาสติดเชื้อโรคได้ และหากลิปสติกที่ใช้อยู่มีลักษะสี กลิ่น เปลี่ยนแปลงไป ควรหยุดใช้ทันที เพราะแสดงว่าลิปสติกนั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

 อายุการใช้งาน : ลิปสติกและลิปกรอสเป็นเครื่องสำอางที่โดนลมมากกว่าเครื่องสำอางชนิดอื่นๆ จึงทำให้จับตัวกับแบคทีเรียได้ง่าย


ทำไมต้องเลือกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ?

                เชื่อไหมว่าผู้หญิงกินลิปสติกเข้าไปในร่างกายถึง 5 กิโลกรัมตลอดช่วงชีวิตของพวกเธอ  โดยมากลิปสติกแต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมของกากปิโตรเลียม สีจากสารเคมีและกลิ่นสังเคราะห์ จึงควรเปลี่ยนมาใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่ดีที่สุดคือมีสารที่ไม่ก่อความระคายเคืองและปกป้องเรียวปากจำพวกน้ำมันหอมระเหยหรือเชียบัทเทอร์(shea butter)

ขั้นตอนการทาลิปสติก


การเขียนขอบปากก่อน ถือเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะวาดรูปปากใหม่ให้สวยงาม

1. ให้เริ่มเขียนในบริเวณที่หนึ่งก่อน จากนั้นเขียนในจุดที่ 2 แล้วดูว่าเราเขียนรอยหยักของปากเท่ากันหรือเปล่า
2. หลังจากนั้นเริ่มเขียนบริเวณที่ 3
3. แล้วตามด้วยบริเวณที่ 4, 5, 6 และ7 โดยวิธีการเขียนควรเริ่มเขียนจากมุมปากเข้ามาเพื่อง่ายต่อการกำหนดรูปริมฝีปาก

ปัจจุบันนี้มีลิปสติกอยู่มากมายหลายชนิด แต่เราควรเลือกชนิดที่มี Moisture เพื่อปกป้องให้ริมฝีปากมีความชุ่มชื่นอยู่เสมอ และควรเลือกเฉดสีให้เหมาะสมกับ Eye shadow และ Brush on



ลูกอม (candy)


Candy  




ลูกอม (candy) เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขนมหวาน (confectionery) คำนิยามตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข หมายถึง ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้อมหรือเคี้ยว ที่มีการแต่งรสใดๆ มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีส่วนประกอบอื่นๆ เพื่อปรุงแต่งกลิ่นรสด้วยหรือไม่ก็ได้ (ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 228) พ.ศ.2544 เรื่อง หมากฝรั่งและลูกอม)

ส่วนประกอบที่สำคัญของลูกอมลูกอมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ 
สารให้ความหวาน 
สารแต่งรสหรือกลิ่น (flavoring agent)  
สารแต่งสี(coloring agent) และอื่นๆ

สารให้ความหวาน ได้แก่ น้ำตาลทราย (sucrose) น้ำเชื่อมกลูโคส (glucose syrup) น้ำเชื่อมฟรักโทส (fructose syrup) น้ำตาลอิน- เวิร์ต (invert sugar) หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล (sugar substitute) ได้แก่ น้ำตาลแอลกอฮอล์ (sugar alcohol) เช่น ซอร์บิ-ทอล (sorbitol) แมนนิทอล (mannitol) โดยจะมีผลต่อความหวาน รวมทั้งความใสของลูกอมด้วย

สารแต่งรสหรือกลิ่น ได้แก่ วัตถุแต่งกลิ่นรส ทั้งที่เป็นสารธรรมชาติ เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันจากเปลือกส้ม หรือจากการใช้สารเคมีผสมให้เกิดกลิ่นที่ต้องการ เช่น ครีมโซดา กลิ่นองุ่น หรือส่วนประกอบที่แต่งกลิ่นรสได้ เช่น ช็อกโกแลต (chocolate) กาแฟผง หรือนมผง ในลูกอมรส กาแฟ หรือท๊อฟฟี่นม เป็นต้น

สารแต่งสี ลูกอมโดยปกติจะเกิดสีน้ำตาล อันเนื่องจากความร้อน ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในช่วงเคี่ยวน้ำตาล แต่บางครั้งผู้ผลิตจำเป็นต้องใส่สีต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อ เช่น แต่งสีแดง สำหรับลูกอมกลิ่นสตรอเบอร์รี่ เป็นต้น
ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ กรดอินทรีย์ (organic acid) กรดที่นิยมใช้ในการผลิตลูกอม ได้แก่ กรดซิตริก (citric acid) กรดทาร์ทาริก (tartaric acid) และกรดมาลิก (malic acid) โดยใช้เพื่อควบคุมความหวาน แต่งรสและยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์
ประเภทของลูกอม

      ลูกอมแบ่งตามลักษณะทางกายภาพได้ 3 ประเภท คือ

ลูกกวาด (hard candy หรือ hard boiled candy) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะแข็ง เมื่อเคี้ยวจะแตก อาจมีการสอดไส้ด้วยก็ได้ ผลิตโดยการต้มน้ำตาลให้ได้ความเข้มข้นสูง นำมาเคี่ยวจนได้ที่ นวดผสมกัน ทำให้เกิดการตกผลึก (crystallization) แล้วจึงเทลงพิมพ์ หรือขึ้นรูปให้เป็นรูปทรงต่างๆ


ขนมเคี้ยว (chewy candy) ได้แก่ คาราเมล (caramels) ท๊อฟฟี่ ลักษณะจะนิ่มจนถึงค่อนข้างแข็ง ผลิตโดยการนำน้ำตาลกลูโคสไซรัป น้ำ ไขมัน หรือส่วนประกอบอื่นปั่นให้เข้ากันจนมีลักษณะเป็นอิมัลชัน (emulsion) ก่อน จึงนำมาเคี่ยวจนได้ที่ นวดผสม และรีดอัดเม็ด


ซอฟต์แคนดี้ (soft candy) ได้แก่ ครีม (creams)  ฟัดส์ (fudges)  มาร์ชแมลโล (marshmallow) ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีลักษณะนิ่มอ่อนตัวมากกว่าขนมเคี้ยว เนื่องจากมีปริมาณความชื้นมากกว่า


วิธีการทำ Candy อมยิ้มคริสต์มาส 



Candy Canes Christmas Pop